บทที่ 7
ยูเจที
7.1 โครงสร้างและสัญลักษณ์ของยูเจที
UJT เป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนำชนิด 2 รอยต่อ ที่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในสารกึ่งตัวนำชนิดไทริสเตอร์ เหมือน SCR ไตรแอกและไดแอก แต่ในการใช้งานจะต้องทำงานร่วมกับ SCR ไตรแอก และไดแอกเสมอ ขาที่ต่อออกมาใช้งานทั้ง 3 ขา มีขาเบส 1 (BASE 1) ขาเบส 2 (BASE 2) และขาอิมิตเตอร์ (EMITTER) โครงสร้างและสัญลักษณ์ของ UJT แสดงดังรูปที่ 7.1
รูปที่ 7.1แสดงโครงสร้างและสัญลักษณ์เ์บื้องต้นของ UJT
จากคุณสมบัติของ UJT ที่กล่าวมา เราสามารถเขียนวงจรสมมูลย์ (EQUIVALENT CIRCUIT) ของ UJT ได้เหมือนเป็นตัวต้านทานต่อร่วมกับไดโอด แสดงดังรูปที่ 7.2
รูปที่ 7.2 วงจรสมมูลย์ของUJT
7.1 การทำงานของ UJT
รูปที่ 7.3 การจ่ายไบอัสให้ UJT ทำงาน
จากรูปที่ 7.3 (ก) เป็นวงจรการจ่ายไบอัสให้ UJT ทำงานแบบเบื้องตัน จะต้องจ่ายแรงดัน vBB ตกคร่อมขา B2 และขา B1 โดยให้ขา B2 มีศักย์เป็นบวกเทียบกับขา B1 และจ่ายแรงดัน VE ให้ขา E และ B1 โดยให้ขา E มีศักย์เป็นบวกเทียบกับขา B1 UJT จะนำกรแสเมื่อมี IE ไหล และทำให้เกิด IB ไหล
ส่วนในรูปที่ 7.3 (ข) เป็นวงจรการจ่ายไบอัสให้วงจรสมมูลย์ของ UJT ความต้านทานของสารกึ่งตัวนำชนิด N ทั้งแท่งเรียกว่า ความต้านทานระหว่างเบส (INTERBASE RESISTANCE) ใช้ตัวย่อ R BB เป็นความต้านทานภายใน UJT ระหว่างขา B2 และขา B1 ในขณะที่ UJT ไม่ทำงาน (IE =0) R BB นี้จะมีค่าความต้านทานอยู่ในช่วง 4Kโอห์ม ถึง 10Kโอห์ม โดยประมาณ R BB นี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ R B1 เปลี่ยนแปลงค่าได้จากค่าประมาณ 5Kโอห์ม ลดลงไปถึง 50โอห์ม ถ้ากระแส IE เปลี่ยนแปลงค่าจาก 0 ถึง 50mA และ R B2 เป็นความต้านทานคงที่ ดังนั้น R BB ก็คือผลบวกของ R B1 รวมกับ R B2 เมื่อ IE =0 จะเขียนเป็นสมการได้ดังนี้
R BB =( R B1 + R B2 ) / IE =0 ……………….(7.1)
เมื่อมีกระแส IE ไหลไปยัง B1 และ UJT นำกระแสความต้านทานของ R B1 จะลดลงอย่างทันทีทันใด ค่าความต้านทานของ R B1 จะเปลี่ยนแปลงเป็นปฎิภาคกลับกับกระแส IE นั่นคือความเป็นตัวนำของ R B1 จะขึ้นอยู่กับกระแสอิมิตเตอร์ IE ในการที่จะทำให้กระแส IE ไหล ได้นั้นแรงดัน ที่จ่ายให้ขา E จะต้องมีศักย์มากกว่าแรงดัน VD รวมกับแรงดัน VA ในตัว UJT
VE > VD + VA หรือ VE > VP ….………………(7.2)
เมื่อ VP = VD + VA..............................................................................................
ในขณะที่กระแส IE ยังไม่ไหล แรงดันตกคร่อม R B1 หรือแรงดัน VA จะเขียนสมการได้ดังนี้
VA = VBB x R B1 / R B1 + R B2..............................................................
VA = VBB x R B1 / R BB | I E = 0 ……………………(7.3)
อัตราส่วนของ R B1 / R BB ในส่วนของสมการที่ (4.3) เรียกว่าอินทรินซัก สแตนออฟ เรโช ของ ยูเจที เขียนเป็นภาษากรีกได้เป็นตัวอีต้า ใช้สัญลักษณ์ h จะได้สมการดังนี้
h = R B1 / R B1 + R B2 = R B1 / R BB | I E = 0 …………………(7.4)
ดังนั้นในสมการที่ (4.3) สามารถเขียนใหม่ได้เป็นดังนี้
VA = h VBB | I E = 0 …………………(7.5)
ระหว่างร่อย PN จะแสดงคุณสมบัติเป็นไดโอดตัวหนึ่ง ค่าแรงดันที่ตกคร่อมตัวไดโอด
(VD) จะมีค่าประมาณ 0.35V ถึง 0.7V ดังนั้นถ้าการจ่ายแรงดัน VE ให้ UJT น้อยกว่า VD + VA แล้ว แรงดันไบอัสที่จ่ายให้ขา E และขา B 1 จะเป็นไบอัสกลับ จะไม่มีกระแส IE ไหลแต่อาจมีเพียงกระแสรั่ว ซึม (LEAKAGE CURRENT) ไหลเท่านั้น
ถ้าจ่ายแรงดัน VE ให้ UJT มากกว่า VD + VA แล้ว แรงดันไบอัสที่จ่ายให้ขา E และขา B 1 จะเป็นไบอัสตรง กระแส IE ก็จะไหล UJT ทำงาน
แรงดันสูงสุดที่จ่ายให้ ขา E เพื่อทำให้กระแส IE ไหล เขียนเป็นสมการได้ดังนี้
VP = h VBB+VD …………………(7.6)
กำหนดให้ RBB = ความต้านทานภายใน UJT ระหว่างขา B 2 และ B 1
V BB = แรงดันตกคร่อมขา B 2 และขา B 1
n = อัตราส่วนอินทรินซิก สแตนออฟ
V E = แรงดันตกคร่อมขา E กับขา B 1
VA = แรงดันตกคร่อม RB1
VD = แรงดันตกคร่อม ไดโอด D
VP = แรงดันที่จ่ายให้ขา E เพื่อให้ UJT ทำงาน
7.2 กร๊าฟคุณสมบัติของยูเจที
รูปที่ 7.4 วงจรทดสอบเพื่อหากร๊าฟคุณสมบัติของ ยูเจที
จากรูปที่ 7.4 เป็นวงจรทดสอบเพื่อหากร๊าฟคุณสมบัติของ ยูเจที โดยต่อดีซีโวลต์มิเตอร์วัดคร่อมขา E กับขา B 1 ของ ยูเจที และใช้ดีซีไมโครแอมมิเตอร์ต่ออันดับที่ขา E
รูปที่ 7.5 กร๊าฟคุณสมบัติ ยูเจที โดยความสัมพันธ์ระหว่างแรงดัน V E กับกระแส IE
จากรูปที่ 7.5 แสดงกร๊าฟคุณสมบัติ ยูเจที โดยความสัมพันธ์ระหว่างแรงดัน V E กับกระแส IE แรงดัน VBB ที่ป้อนให้วงจรเท่ากับ 10 V จากกร๊าฟด้านซ้ายมือเป็นกร๊าฟเนื่องจากการเริ่มจ่ายแรงดัน VE ให้ขา E เทียบกับขา B 1 ถ้าแรงดัน VE ที่จ่ายให้ยังไม่ถึงค่า VP จะมีกระแสไหล ในวงจรเพียงเล็กน้อย จะเป็นค่ากระแสรั่วซึม เพราะไดโอด D ยังคงได้รับไบอัสกลับไม่นำกระแส ในส่วนนี้จะเรียกว่า ช่วงคัทออฟ (CUTOFF REGION) เมื่อเพิ่มแรงดัน VE จนถึงค่าแรงดัน VP หรือถึงค่าระดับแรงดันที่ทำให้ไดโอด D ได้รับไบอัส ตรง จะทำให้มีกระแส IE ไหลจากขา E ไปขา B 1 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และในเวลาเดียวกันนั้นแรงดัน VE จะมีค่าลดลง แรงดัน VE นี้จะลดลงถึงค่าต่ำสุด หรือ V V ช่วงแรงดัน VP กระแสไหลช่วงนี้เรียกว่ากระแส IP และช่วงแรงดัน VV กระแสไหลช่วงนี้เรียกว่ากระแส IV ในส่วนนี้จะเรียกว่าช่วงความต้านทานเป็นลบ (NEGATIVE RESISTANCE REGION) หลังจากแรงดันที่ตกคร่อมขา E เทียบกับ B1 ถึงค่าแรงดัน Vv แล้ว ถ้าจ่ายแรงดัน V E ให้มากขึ้นอีก จะทำให้กระแส IE ไหลเพิ่มขึ้น และแรงดัน VE ก็จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในส่วนนี้จะเรียกว่า ช่วงอิ่มตัว (SATURATION REGION)
7.3 รายละเอียดและขีดจำกัดของยูเจที
1. การสูญเสียกำลังงาน (POWER DISSIPATION) ใช้ตัวย่อ PD คือค่ากำลังงานที่สูญเสียไปของ ยูเจที ในขณะที่ยูเจที กำลังทำงาน สามารถคำนวณหาได้จากค่าแรงดัน VBB และค่าความต้านทานระหว่างขา B 2 และขา B 1 หรือ RBB นั่นเอง มักจะบอกไว้ในคู่มือของบริษัท เข่น 300mW. หรืออาจคำนวณได้จากสูตร ดังนี้
PD = (V BB )2/ RBB ………………………(4.7)
ตัวอย่างเช่น ค่า VBB มีค่า 35 V และ RBB มีค่า 4.7K โอห์ม
PD = (35V)2/4700โอห์ม = 260mW
2. กระแสอิมิตเตอร์เป็น RMS (RMS EMITTER CURRENT) ใช้ตัวย่อ IE คือค่ากระแสที่ไหลผ่านขาอิมิตเตอร์ เป็นค่ากระแสใช้งานของ ยูเจที ในขณะจ่ายแรงดันให้ขา E ถึงค่าแรงดันอิมิตเตอร์ อิ่มตัวหรือ VE(SAT) ตัวอย่างเช่น 50mA.
3. กระแสพัลซ์สูงสุดที่อิมิตเตอร์ (PEAK-PULSE EMITTER CURRENT) ใช้ตัวย่อ i e คือกระแสพัลซ์ที่ไหลผ่านขาอิมิตเตอร์ของ ยูเจที ได้สูงสุดที่ ยูเจที ไม่ชำรุดเสียหาย โดยบอกค่าดิวตีไซเกิล (DUTY CYCLE) และอัตราการเกิดพัลซ์ซ้ำ ๆ (PULSE REPETTION RATE) หรือใช้ตัวย่อ PRR ไว้ด้วย เช่น 1.5 A ที่ดิวตีไซเกิลน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 เปอร์เซ็นต์ และค่า PRR = 10PPS (PULSE PERSEC.)
4. แรงดันไบอัสกลับระหว่างเบส 2 กับอิมิตเตอร์ (EMITTER REVERSE VOLTAGE) ใช้ตัวย่อ VB2E คือแรงดันที่ป้อนให้ขา B 2 กับขา E เป็นไบอัสกลับค่าสูงสุดที่ ยูเจที ทนได้โดยไม่ชำรุดเสียหาย ในขณะที่ขา B 1 เปิดวงจร ตัวอย่างเช่น 30V
5. แรงดันระหว่างเบสทั้งสอง (INTERCASE VOLTAGE) ใช่ตัวย่อ VBB คือค่าแรงดันสูงสุดที่ป้อนให้ขา B 2 กับขา B 1 ที่ ยูเจที ยังทำงานได้โดยไม่ชำรุดเสียหาย ตัวอย่างเช่น 35V
6. ย่านอุณหภูมิทำงานตรงรอยต่อ (OPERATING JUNCTION TEMPERATURE RANG) ใช้ตัวย่อ TJ คือย่านอุณหภูมิที่รอยต่อของ ยุเจที ที่ทนได้ขณะทำงาน มักจะบอกไว้ตั้งแต่ค่าต่ำสุดเป็นองศาเซลเซียส ตัวอย่างเช่น -65 ถึง +125C
7. ย่านอุณหภูมิสะสม (STORAGE TEMPERATURE RANGE) ใช้ตัวย่อ Tstg คือย่านอุณหภูมิในตัว ยูเจที ในขณะทำงาน จะมีอุณหภูมิสะสมได้สูงสุดโดย ยูเจที ไม่ชำรุดเสียหาย มักจะบอกไว้ตั้งแต่ค่าต่ำสุด ไปยังค่าสูงสุดเป็นองศาเซลเซียสเช่นกัน ตัวอย่างเช่น -65 ถึง +150 C
8. อัตราส่วนอินทริกซิกสแตนออฟ (INTRINSIC STANDOFF RATIO) ใช้ตัวย่อ h คือค่าคงที่ค่าหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของสมการ ในการหาค่าแรงดันสูงสุด (VP ) ที่จะทำให้มีกระแสอิมิตเตอร์ (IE )ไหลเพื่อให้ ยูเจที ทำงาน หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า คือ อัตราของความต้านทานในขาเบสของ ยูเจที เขียนเป็นสมการดังนี้
h = RB1 /RBB | I E = 0
และ VP = h V BB + VD
9. ความต้านทานระหว่างเบส (INTERBASE RESISTANCE) ใช้ตัวย่อ R BB คือค่าความต้านทานระหว่างแท่งสารซิลิคอนชนิด N โดยวัดระหว่างขา B 2 กับขา B 1 โดยที่ขา E จะต้องปิดวงจร และจะต้องจ่ายแรงดัน VBB คร่อมขา B 1 และขา B 2 ประมาร 3V ค่า R BB นี้จะมีค่าประมาณ 4.7Kโอห์ม ถึง 9.1Kโอห์ม ค่า R BB นี้จะเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิด้วย เมื่ออุณหภูมิขึ้นค่าความต้านทานจะลดลงเช่น 0.2% ต่อองศาเซลเซียส
10. แรงดันอิ่มตัวระหว่างอิมิตเตอร์และเบส 1 (E,OTTER SATIRATOPM VOLTGE) ใช้ตัวย่อ VE(SAT) ในการจ่ายแรงดันไบอัสตรงให้ขา E B 1 จนทำให้มีกระแส IE ไหลนั้น ค่าความต้านทานระหว่างขา E กับขา B 1 จะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แรงดันตกคร่อมขา E ลดลงตามไปด้วย จนเมื่อกระแส ฉ ไหลถึงค่ากระแสใช้งานสูงสุด
11. กระแสไบอัสกลับที่อิมิตเตอร์ (EMITTER REVERSE CURRENT) ใช้ตัวย่อ IEO คือกระแสที่ไหลจากขา B 2 ผ่านตัว ยูเจที ไปออกขา E เป็นกระแสไบอัสกลับ โดบที่ขา B 1 เปิดวงจร อยู่ (IBI = 0) และจ่ายแรงดันให้วงจรประมาณ 30 V จะมีปริมาณกระแสที่ไหลน้อยมาก เช่น 0.1hA
รูปที่ 7.6 การต่อวงจรเพื่อวัดกระแสไบอัสกลับที่อิมิตเตอร์
12. กระแสอิมิตเตอร์ที่จุดยอด (PEAK POINT EMITTER CURRENT) ใช้ตัวย่อ IP คือ กระแสที่ไหลผ่านขา E และขา B 1 ของ ยูเจที ที่จะเริ่มทำให้ ยูเจที นำกระแส
13. กระแสอิมิตเตอร์ที่จุดแรงดันต่ำสุด (VALLAY POINT CURRENT) ใช้ตัวย่อ IV คือค่ากระแสที่ไหลผ่านขา E และขา B 1 ของ ยูเจที จนทำให้มีศักย์ตกคร่อมขา E และขา B 1 แรงดันต่ำสุดที่ VV กระแสที่ตำแหน่งนี้เรียกว่ากระแส ตัวอย่างเช่น 2mA
14. กำหนดความถี่ได้สูงสุด (MAXIMUM FREQUENCY OF OSCILLATION) ใช้ตัวย่อ f(max) เมื่อจำ ยูเจที ไปใช้เป็นวงจรกำเนิดความถี่
รูปที่ 7.7รูปร่างและตำแหน่งขาของ UJT
รูปที่ 7.8 กร๊าฟแสดงคุณสมบัติของ UJT ที่แรงดันVBB ค่าต่างๆ
รูปที่ 7.9 แสดงคุณสมบัติต่าง ๆ ของ ยูเจที เบอร์ 2N4870-71
7.4 การนำยูเจทีไปใช้งาน
1. ยูเจที รีแลกเซชั่นออสซิลเลเตอร์ (UJT RELAXTION OSCILLATOR) ในวงจรจะประกอบด้วยตัวต้านทาน และตัวเก็บประจุต่อเข้าที่ขา E ของ ยูเจที ทำหน้าที่เป็นวงจรตั้งเวลา ซึ่งจะมีค่าคงที่ขึ้นอยู่กับค่าความต้านทาน และค่าความจุคูณกัน ดังสมการ
T = RC ………………..(4.8)
ตัวต้านทานและตัวเก็บประจุที่ต่อกับขา E ของ ยูเจที จะเป็นตัวกำหนดเวลาในการทำงานของ ยูเจที สัญญาณที่ถูกกำเนิดขึ้นมาจะสามารถนำออกมาใช้งานได้ทั้งขา E ขา B 1 และขา B 2 วงจรรีแลกซ์เซชั่นออสซิลเลเตอร์ แสดงดังรูปที่ 7.10
รูปที่ 4.10 วงจรและรูปสัญญาณของวงจรรีแลกเซชั่นออสซิลเลเตอร์
จากรูปที่ 7.10 (ก) เป็นวงจรรีแลกเซชั่นออสซิลเลเตอร์ วงจรประกอบด้วยตัวต้านทาน R1 และตัวเก็บประจุ C1 ต่อร่วมกันเป็นวงจร กำหนดค่าเวลาคงที่ (TIME CONSTANT) ที่จะจ่ายแรงดันไบอัสตรงไปให้ขา E ของ ยูเจที เมื่อวงจรทำงานดังรูปที่ 7.11 (ข) การทำงานของวงจรอธิบายได้ดังนี้
เมื่อเริ่มจ่ายแรงดัน V ให้วงจร รอยต่อระหว่างขา E กับจุดต่อในตัว ยูเจที ระหว่าง RB1 และ RB2 ซึ่งเสมือนเป็นไดโอดอยู่จะยังคงได้รับไบอัสกลับ ทั้งนี้เพราะตัวเก็บประจุ C1 ในสภาวะแรกยังไม่มีการประจุแรงดันไม่มีศักย์ตกคร่อม C1 กระประจุแรงดันของ C1 จะมีกระแสไหลจาก+V ผ่าน R1 ไปประจุที่ C1 บนบวกล่างลบ R1 จะเป็นตัวกำหนดการประจุของ C1 ให้ช้าหรือเร็ว ค่าความต้านทาน R1 หาได้จากสมการดังนี้
V - VP / IP >R1 >V - VV / IV …………………(7.9)
ตัวอย่างเช่น แรงดัน V = 30V, h = 0.5, VV = 1V, IV =10mA, IP = 10mA และ RBB = 5Kโอห์ม
VP = h VBB + VD = 0.5(30V)+0.5V = 15.5V
แทนค่า V - VP / IP = 30V-15.5V / 10x10-6A = 1.45Mโอห์ม>R 1
แทนค่า V - VV / IV = 30V-1V / 10x10-3A = 2.9Kโอห์ม<R 1
นั่นคือ จะมีค่าอยู่ระหว่าง 2.9Kโอห์ม ประมาณ 1.45Mโอห์ม
กระแสจากแหล่งจ่ายแรงดัน V จะไหลผ่าน R1 เข้าไปประจุใน C1 ทำให้แรงดันตกคร่อม C1 ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จนเมื่อแรงดันที่ขา E มีค่ามากกว่าแรงดันระหว่างรอยต่อ RB1 และ RB2 +0.6V ภายในตัว ยูเจที จะทำให้ไดโอดระหว่างรอยต่อ PN ของ ยูเจที ได้รับไบอัสตรงนำกระแส เป็นผลให้แรงดันระหว่างขา E กับกราวด์ลดค่าต่ำลงอย่างมาก เพราะค่า RB1 ลดค่าลงมาก C1 จะคายประจุผ่าน R3 ลงกราวด์อย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาการคายประจุของ C1 จะเร็วมาก เพราะใช้ R3 ค่าต่ำ แรงดันตกคร่อม C1 ก็จะลดลงรวดเร็วเช่นเดียวกัน กระแสที่ไหลผ่านจะเป็นพัลซ์เมื่อ C1 คายประจุจนค่าแรงดันมีค่าน้อยลง โดยเทียบกับแรงดันที่จุด B1 เป็นผลให้ไดฮดระหว่างรอยต่อ PN ใน ยูเจที ได้รับไบอัสกลับ ค่าความต้านทาน RB1 จะเพิ่มค่าอย่างรวดเร็ว C1 จะหยุดการคายประจุและเริ่มประจุแรงดันใหม่อีกครั้ง การทำงานจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป
การทำงานดังกล่าวมาทำให้เกิดเป็นสัญญาณไฟสลับส่งออก แต่จะมีเอาท์พุทต่างกันไป ช่วงเวลาในการเกิดสัญญาณสามารถกำหนดได้โดยค่าความต้านทาน R1 และตัวเก็บประจุ C1 นำมาคำนวณจากสูตร
T = R1 C1 …………………(7.10)
จากเวลาในการทำงาน โดยประมาณในสามการที่ (4.10) เราสามารถนำมาคำนวณเป็นความถี่ของการเกิดสัญญาณได้โดยสมการดังนี้
f = 1/T = 1/ R1 C1 ………………...(7.11)
โดยที่ f = ความถี่ในการเกิดสัญญาณแต่ละครั้ง
T = เวลาในการเกิดสัญญาณแต่ละครั้ง
R1 = ค่าความต้านทาน
C1 = ค่าความจุ
ดังนั้นถ้าต้องการเปลี่ยนความถี่ในการกำเนิดสัญญาณให้ได้ค่าตามความต้องการก็สามารถทำได้ โดยการปรับเปลี่ยนค่าความต้านทาน R1 และค่าความจุ C1 ส่วนมากนิยมใช้ในการปรับเปลี่ยน R1 เพราะง่ายและสะดวกในการใช้งาน และมักมีตัวต้านทานค่าคงที่ต่ออันดับเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งตัว วงจรแสดงดังรูปที่ 7.11
รูปที่ 7.11 วงจรรีแลกเซชั่นออสซิลเลเตอร์แบบปรับค่าได้
2. การใช้ ยูเจที ควบคุมวงจรเร็กติไฟออร์ของ SCR เป็นวงจรที่ใช้รีแลกเซชั่นออสซิลเลเตอร์ควบคุมการเร็กติไฟออร์ของ SCR โดยควบคุมและปรับเปลี่ยนเฟสการเร็กติไฟได้ วงจรแสดงดับรูปที่ 7.12
รูปที่ 7.12 วงจรเร็กติไฟเออร์ของ SCR ควบคุมโดย UJT
จากรูปที่ 7.12 เป็นวงจรเร็กติไฟเออร์ของ SCR ถูกควบคุมเฟสการเร็กติไฟเออร์ด้วยวงจรรีแลกเซชั่นออสซิลเลเตอร์ วงจรประกอบด้วย R1 เป็นตัวต้านทานจำกัดกระแสที่จะไหลผ่านซีเนอร์ไดโอด ZD1 ไม่ให้มากเกินไป ZD1 เป็นซีนเนอร์ไดโอดกำหนดค่าแรงดันจ่ายให้วงจรรีแลกเซชั่นออสซิลเลเตอร์ R2 ,C1 เป็นวงจรกำหนดเวลาการทำงานของ ยูเจที ตัว R4 เป็นโหลดของ ยูเจที ส่งแรงดันพัลซ์บวกออกเอาท์พุท R5 , R6 , R7 ตัวต้านทานจำกัดกระแสกระตุ้นขา G ของ SCR1 และ ตัว SCR2 และ SCR2 ทำหน้าที่เร็กติไฟเออร์ที่ควบคุมเฟสได้ R8 เป็นโหลดของการเร็กติไฟเออร์ D1 , D2 เป็นไดโอดเร็กติไฟเออร์ แปลงแรงดันไฟสลับเป็นไฟตรงจ่ายให้วงจร ยูเจที และ ZD1